สาระน่ารู้ เกี่ยวกับ
อะไรทำได้ อะไรทำไม่ได้
อะไรถูก อะไรผิดกฎหมาย
ถาม: ประชาชนทั่วไปมีสิทธิที่จะตรวจสอบการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจโดยสามารถ ถ่ายภาพหรือวิดีโอเก็บไว้เป็นหลักฐานได้หรือไม่
ตอบ: ไม่มีบทกฎหมายฉบับไหน ที่กำหนดห้ามถ่ายภาพหรือวิดีโอเจ้าหน้าที่ตำรวจ ถึงแม้ว่าตำรวจจะบอกว่าห้ามถ่ายก็ตามที หากไม่ได้นำไปโพสต์ลงสื่อโซเชี่ยลใส่ความให้เกิดความเสียหาย แค่ถ่ายเก็บไว้เป็นหลักฐานจึงไม่มีความผิดแต่อย่างใด แต่ถึงอย่างไรก็ตามการถ่ายคลิปนั้นเป็นไปเพื่อการตรวจสอบการทำงานของเจ้าหน้าที่เก็บไว้เป็นหลักฐานเฉพาะ หากมีการก่อกวนเจ้าหน้าที่ตำรวจก็อาจเข้าข่ายเป็นการขัดขวางการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ และเป็นการก่อความเดือดร้อนรำคาญด้วย
อย่างไรก็ดีสำนักงานตำรวจแห่งชาติก็เคยมีคำสั่งเป็นหนังสือวิทยุในราชการสำนักงานตำรวจแห่งชาติด่วนที่สุด ลงวันที่ 21 สิงหาคม 2561 เลขที่ 0007/340 โดยมีเนื้อหากำชับการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจให้เหมาะสมเพราะปรากฏภาพตามสื่อโซเชี่ยลบ่อยๆเวลาตำรวจทำไม่ถูกต้องเหมาะสม และไม่มีคำสั่งหรือกฎหมายห้ามไม่ให้ประชาชนตรวจสอบการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจแต่อย่างใด
ดังนั้นหากประชาชนถ่ายภาพหรือถ่ายคลิปการปฏิบัติหน้าที่ของข้าราชการตำรวจเพื่อเก็บไว้เป็นหลักฐานจึงสามารถทำได้(เทียบคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3798/2564 )
ถาม: การถ่ายคลิป ถ่ายภาพของบุคคลอื่น โดยไม่ได้รับอนุญาตจะมีความผิดอย่างไรบ้าง
ตอบ: ตามหลักกฎหมายรัฐธรรมนูญ มาตรา 25 ได้วางหลักไว้ว่า "สิทธิและเสรีภาพของปวงชนชาวไทย นอกจากที่บัญญัติคุ้มครองไว้เป็นการเฉพาะในรัฐธรรมนูญแล้ว การใดที่มิได้ห้ามหรือจำกัดไว้ในรัฐธรรมนูญหรือในกฎหมายอื่น บุคคลย่อมมีสิทธิและเสรีภาพที่จะทำการนั้นได้และได้รับความคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญตราบเท่าที่การใช้สิทธิหรือเสรีภาพเช่นว่านั้นไม่กระทบกระเทือนหรือเป็นอันตรายต่อความมั่นคงของรัฐ ความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนและไม่ละเมิดสิทธิหรือเสรีภาพของบุคคลอื่น
สิทธิหรือเสรีภาพใดที่รัฐธรรมนูญให้เป็นไปตามที่กฎหมายบัญญัติ หรือให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กฎหมายบัญญัติ แม้ยังไม่มีการตรากฎหมายนั้นขึ้นใช้บังคับ บุคคลหรือชุมชนย่อมสามารถใช้สิทธิหรือเสรีภาพนั้นได้ตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ
บุคคลซึ่งถูกละเมิดสิทธิหรือเสรีภาพที่ได้รับความคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญ สามารถยกบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญเพื่อใช้สิทธิทางศาลหรือยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้คดีในศาลได้
บุคคลซึ่งได้รับความเสียหายจากการถูกละเมิดสิทธิหรือเสรีภาพหรือจากการกระทำความผิดอาญาของบุคคลอื่น ย่อมมีสิทธิที่จะได้รับการเยียวยาหรือช่วยเหลือจากรัฐตามที่กฎหมายบัญญัติ"
ดังนั้นถึงแม้บุคคลมีเสรีภาพในการถ่ายภาพหรือคลิปก็ตาม แต่การกระทำเช่นว่านั้นเป็นการไปรบกวนสิทธิของคนอื่น การกระทำดังกล่าวเป็นการละเมิดสิทธิของบุคคลอื่น ตามกฎหมาย ป.อ.มาตรา 397 ถือเป็นความผิดก่อความเดือดร้อนรำคาญ มีโทษปรับไม่เกิน 5,000 บาท และ/หรืออาจเข้าข่ายเป็นความผิดตามพ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลอีกด้วยซึ่งในยุคโซเชียลที่ทุกคนสามารถถ่ายคลิปโพสต์บอกเล่าเหตุการณ์ต่างๆ ได้ง่ายผ่านสื่อออนไลน์ที่ตัวเองมี แต่ขณะเดียวกันการโพสต์คลิปที่มีภาพบุคคลอื่นอาจต้องอยู่ในขอบเขตของกฎหมาย PDPA หรือ พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลเช่นว่านั้น
ถาม: มีความจำเป็นมากน้อยเพียงใดที่เจ้าหน้าที่ตำรวจยังคงจะต้องตั้งด่าน/ตั้งจุดสกัดอยู่อีก
ตอบ: ตำรวจมีอำนาจหน้าที่ในการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมตาม พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติและตำรวจมีอำนาจทำการสืบสวนคดีอาญาได้ตามป.วิ.อาญาเพื่อป้องกันอาชญา- กรรมที่อาจเกิดขึ้นได้ในทางหลวง/และหรือเพื่อปราบปรามอาชกรรมที่เกิดขึ้นแล้วในทางหลวง ดังนั้นการที่เจ้าพนักงานตำรวจจึงมีความจำเป็นที่จะจัดตั้งจุดตรวจหรือจุดสกัดบนทางหลวงเพื่อดำเนินการจับกุมหรือตรวจค้นผู้กระทำความผิดกฏหมายอันเป็นการปฏิบัติการให้เป็นไปตามประมวลกฏหมายวิธีพิจารณาความอาญา
ในยุคนีั ทุกคนต้องใช้ถนนหนทางในการสัญจรไปมาในถนนหนทางจึงมีทั้งคนดี คนไม่ดีปะปนกันไปอาชญากรมิได้บอกกล่าวแก่บุคคลทั่วไปว่าจะไม่ก่ออาชญากรรมในถนนหนทาง
คนไม่ดีส่วนใหญ่ก็จะใช้ถนนหนทางเป็นเครื่องมือในการกระทำผิด ขนยาเสพติด ก่อเหตุร้าย ล่าเหยื่อและใช้เป็นเส้นทางการหลบหนี
การตั้งด่านมีความสำคัญเพื่อป้องปรามอาชญากรรม/และทำให้สุจริตชนมีความอบอุ่นใจ/แต่อาจทำให้บุคคลที่มีจิตใจไม่สุจริตไม่มองในทางบวกบ้างเกิดความไม่พึงพอใจ
ปัญหาไม่ได้อยู่ด่าน มันอยู่ที่คนไปตั้งด่าน ที่อาจใช้ด่านเป็นเครื่องมือในการกระทำไม่ชอบต่างๆจริงๆนั้นควรต้องแก้ที่คนแต่กลับไปแก้ด้วยการห้ามตั้งด่าน
ยาเสพติดทะลักเต็มบ้านเต็มเมืองขนกันสะดวกสะบายและที่เห็นชัดๆ กรณีชายคลั่งยาตระเวนแทงคอชาวบ้านที่อุดรธานีกว่าจะรู้ตัวก็เกือบชั่วโมง คนดีต้องมาตาย 2 และบาดเจ็บอีก 6
เรื่องด่านคงต้องชั่งน้ำหนักให้ดี มองอย่างรอบด้าน มิฉะนั้นอาจหลงกล ตกเป็นเครื่องมือแก๊งอาชญากรรมระดับชาติ
ถาม: การตั้งจุดตรวจโดยที่ไม่ปรากฏแผ่นป้ายแสดงยศ ชื่อ ชื่อสกุล และตำแหน่งเจ้าพนักงานตำรวจที่ประจำจุดตรวจจะชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ บุคคลซึ่งมิใช่ผู้ขับขี่รถและไม่ถูกเรียกให้ตรวจสอบจะสามารถเข้าไปตรวจสอบการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ประจำจุดตรวจได้หรือไม่
ตอบ: การตั้งจุดตรวจเป็นการดำเนินการของเจ้าหน้าที่ตำรวจภายในเขตท้องที่รับผิดชอบของตนให้เป็นไปตามนโยบายและคำสั่งของผู้บังคับบัญชาตามลำดับชั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งสาม ได้รับคำสั่งให้ปฏิบัติหน้าที่ในการนี้ โดยมีผู้ควบคุม เป็นการตั้งจุดตรวจโดยเปิดเผย มีการวางกรวยบังคับช่องทางเดินรถให้ตรงมายังจุดตรวจ กับมีแผงกั้นที่มีเครื่องหมายจราจรว่า “หยุด” และสัญญาณไฟแสดงให้เห็นว่าเป็นจุดตรวจที่ตั้งโดยเจ้าพนักงานตำรวจ ทั้งผู้ควบคุมเป็นเจ้าพนักงานชั้นสัญญาบัตรที่ประจำอยู่จุดตรวจ อันเป็นการปฏิบัติ ตามมาตรการที่กำหนดโดยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ การตั้งจุดตรวจนี้เป็นไปโดยชอบด้วยระเบียบข้อบังคับที่เกี่ยวข้องแล้ว การที่ไม่ปรากฏแผ่นป้ายแสดงยศ ชื่อ ชื่อสกุล และตำแหน่งเจ้าพนักงานตำรวจที่ประจำจุดตรวจแม้จะเป็นข้อบกพร่องแต่ก็ไม่ถึงขนาดทำให้การตั้งจุดตรวจดังกล่าวกลายเป็นจุดที่ไม่ชอบด้วยกฎระเบียบแต่อย่างใด/สภาพการตั้งจุดตรวจประสงค์จะตรวจยานพาหนะและบุคคลที่โดยสารมาด้วย อันเป็น
มาตรการในการป้องกันและปราบปราม อาชญากรรมตามอำนาจหน้าที่ของเจ้าพนักงานตำรวจเป็นหลัก หาได้มีเจตนาพิเศษเพื่อจะก่อให้เกิดความเสียหายแก่ใครหรือผู้หนึ่งผู้ใดหรือโดยทุจริต เพื่อหวังส่วนแบ่งรายได้จากเงินค่าปรับที่เปรียบเทียบปรับจากผู้สัญจรบนถนนดังกล่าว มีบุคคลผู้ก่อกวนเป็นฝ่ายเดินเข้าไปสอบถามถึงความชอบด้วยระเบียบของการตั้งจุดตรวจ ทั้งๆที่ตนเองไม่ใช่ผู้ขับขี่ยานพาหนะผ่านจุดตรวจและถูกเรียกให้หยุดเพื่อขอตรวจค้น เป็นไปในลักษณะที่ผู้ก่อกวนพูดจาต่อล้อต่อเถียงไม่รับฟังเหตุผลและคำชี้แจงของเจ้าพนักงานตำรวจ มีการใช้คำพูดทำนองยั่วยุ ซ้ำๆและใช้คำถามนำเพื่อให้เจ้าพนักงานตำรวจตอบคำถามตามที่ต้องการ โดยระหว่างนั้นผู้ก่อกวนก็ใช้กล้องในโทรศัพท์เคลื่อนที่บันทึกภาพเคลื่อนไหวพร้อมบทสนทนาถ่ายทอดสดผ่านแอปพลิเคชั่นเฟซบุ๊ก เพื่อให้สมาชิกผู้เข้าชมทางแอปพลิเคชั่นดังกล่าวเห็นเหตุการณ์ไปพร้อมกัน พฤติการณ์ดังกล่าวส่อไปทำนองก่อความเดือดร้อนและรบกวนการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าพนักงานโดยไม่มีเหตุสมควร ซึ่งผิดวิสัยที่วิญญูชนพึงปฏิบัติ กรณีจึงมีเหตุอันควรที่เจ้าพนักงานตำรวจที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่ในขณะนั้นจะสงสัยว่าผู้ก่อกวนมีสิ่งของที่เกี่ยวกับการกระทำผิดใดไว้ในครอบครอง หรือเสพสิ่งเสพติด หรือวัตถุออกฤทธิ์ใดหรือไม่ การที่เจ้าหน้าที่ตำรวจขอตรวจค้นตัวผู้ก่อกวนก็ดี ขอตรวจสอบบุคคลโดยให้แสดงบัตรประจำตัวประชาชนก็ดี ขอตรวจหาสารเสพติดจากปัสสาวะของผู้ก่อกวนทั้งในที่เกิดเหตุก็ดี รวมทั้งการขอตรวจหาสารเสพติดอื่นๆจากปัสสาวะของผู้ก่อกวนที่สถานีตำรวจก็ดี ล้วนเป็นการปฏิบัติไปตามกรอบอำนาจหน้าที่ของเจ้าพนักงานโดยชอบตามป.วิ.อ.มาตรา93(เทียบคำพิพากษาศาลฎีกาที่4285- 4286/2565)
ถาม: หากข้อเท็จจริงตามข้อ 4.ได้ความว่ามีบุคคลไลฟ์เฟชบุ๊กด่าทอเจ้าหน้าที่ตำรวจในการตั้งจุดตรวจด้วยถ้อยคำหยาบคายและไม่มีอำนาจหน้าที่เช่นนี้จะมีความผิดอย่างไรบ้างหรือไม่
ตอบ: ถึงแม้การถ่ายรูปถ่ายคลิปเจ้าหน้าที่ตำรวจในขณะปฏิบัติหน้าที่ไม่มีกฎหมายบัญญัติเป็นความผิดก็ตาม นั้นหมายถึงการถ่ายไว้เพื่อตรวจสอบหรือไว้เป็นพยานหลักฐานเฉพาะตนเท่านั้น/ หากเป็นการถ่ายเจ้าหน้าที่ตำรวจในขณะปฏิบัติหน้าที่แล้วนำไปไลฟ์เฟซบุ๊คด่าทอ ก็เข้าข่ายเป็นความผิดฐานดูหมิ่นเจ้าพนักงานในขณะปฏิบัติหน้าที่ตาม ป.อ.มาตรา 136 ที่บัญญัติว่า"ผู้ใดดูหมิ่นเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่ หรือเพราะได้กระทำการตามหน้าที่ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ"
กรณีการไลฟ์เฟซบุ๊คถือว่าเป็นการนำข้อมูลเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์/และข้อมูลนั้นไม่เป็นความจริงอาจเข้าข่ายผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์
มาตรา 14 ที่บัญญัติว่า "ผู้ใดกระทําความผิดที่ระบุไว้ดังต่อไปนี้ ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ
(1)โดยทุจริต หรือโดยหลอกลวง นําเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน อันมิใช่การกระทําความผิดฐานหมิ่นประมาทตามประมวลกฎหมายอาญา..." และถือเป็นการละเมิดข้อมูลส่วนบุคคลซึ่งตาม พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล มาตรา 19 ระบุว่า " ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลจะกระทำการเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลไม่ได้หากเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลไม่ได้ให้ความยินยอมไว้ก่อนหรือในขณะนั้น เว้นแต่บทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัตินี้หรือกฎหมายอื่นบัญญัติให้กระทำได้..."
ผู้ไลฟ์เฟซบุ๊คจะใช้หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลอาจมีความผิดตามมาตรา 27 ที่ระบุว่า "ห้ามมิให้ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลใช้หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล โดยไม่ได้รับความยินยอมจากเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล เว้นแต่เป็นข้อมูลส่วนบุคคลที่เก็บรวบรวมได้โดยได้รับยกเว้นไม่ต้องขอความยินยอมตามมาตรา24 หรือมาตรา 26..."
พลตำรวจตรีไพศาล ลือสมบูรณ์
รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค ๕
ผู้จัดทำ/ด้วยความรัก